กรมชลประทาน ตรวจติดตามความคืบหน้าโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล ระยะที่ 1 - Thailand Times

Breaking



Post Top Ad

Monday, 23 June 2025

กรมชลประทาน ตรวจติดตามความคืบหน้าโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล ระยะที่ 1

“กรมชลประทาน ตรวจติดตามความคืบหน้าโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล ระยะที่ 1 เตรียมความพร้อมออกแบบหัวงานแนวผันน้ำ”

“กรมชลประทาน” จัดกิจกรรมตรวจติดตามโครงการ ครั้งที่ 1 งานจ้างสำรวจ ออกแบบ โครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล โดยแรงโน้มถ่วง ระยะที่ 1 (หัวงานแนวผันน้ำ) จังหวัดเลย เพื่อติดตามและสรุปความก้าวหน้าของงาน” 

นายพิเชษฐ รัตนปราสาทกุล ผู้อำนวยการสำนักออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ได้จัดกิจกรรม ตรวจติดตามโครงการครั้งที่ 1 สำหรับงานจ้างสำรวจออกแบบโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล โดยแรงโน้มถ่วง ระยะที่ 1 (หัวงานแนวผันน้ำ) ณ จังหวัดเลย ในวันที่ 23 มิถุนายน 2568 กิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการ เตรียมความพร้อมในการจัดทำแบบ และรายการรายละเอียดประกอบแบบ สำหรับส่วนหัวงานตามแนวผันน้ำ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาพื้นที่โครงการ เพื่อประโยชน์สูงสุด 

ในด้านการวางแผนก่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำและประชาชนในพื้นที่การพัฒนาระยะที่ 1 ประกอบด้วยการก่อสร้างหัวงานอุโมงค์ส่งน้ำจำนวน 1 แถว และระบบส่งน้ำเพื่อพื้นที่ชลประทานประมาณ 1.73 ล้านไร่ โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) ได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม (เฉพาะหัวงานแนวผันน้ำ) แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2563 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมฉบับชี้แจงตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) 

ซึ่งได้มีมติให้ปรับปรุง แก้ไข และเพิ่มเติมข้อมูลให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยคาดว่ารายงานฉบับปรับปรุงจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2568 และสามารถนำเสนอต่อ คชก. เพื่อพิจารณาในขั้นตอนถัดไป  โดยหากพัฒนาโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล โดยแรงโน้มถ่วง ระยะที่ 1 เต็มระบบ (อุโมงค์ 1 แถวและระบบส่งน้ำ) จะเป็นโครงการชลประทานขนาดใหญ่ ที่สามารถช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพิ่มพื้นที่ชลประทาน และส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ ครอบคลุมพื้นที่ 27 อำเภอ ใน 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย ขอนแก่น ชัยภูมิ และกาฬสินธุ์ โดยมีปริมาณน้ำที่สามารถผันได้ 1,894.10 ล้าน ลูกบาศก์เมตรต่อปี 

นายพิเชษฐฯ  กล่าว พื้นที่หัวงานบริเวณปากแม่น้ำเลย ถือเป็นจุดที่มีระดับความสูงเหมาะสมที่สุดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งสามารถผันน้ำจากแม่น้ำโขงเข้าสู่ระบบได้ในอัตราสูงสุด 160 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยอาศัยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นพื้นที่ราบสูง ส่งน้ำผ่านอุโมงค์ผันน้ำและคลองลำเลียงน้ำด้วยแรงโน้มถ่วงไปยังพื้นที่การเกษตรประมาณ 1.73 ล้านไร่ ซึ่งส่วนใหญ่ประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก 

สำหรับลักษณะโครงการฯ ประกอบด้วย 

1. หัวงานแนวผันน้ำโขงอีสาน มีแนวผันน้ำจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไปยังพื้นที่ลุ่มน้ำ-โขงอีสาน สิ้นสุดที่บ้านดงมะไฟ ตำบลดงมะไฟ อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู ระยะทาง 83.498 กิโลเมตร ประกอบด้วย การปรับปรุงแม่น้ำเลย ขุดคลองชักน้ำ ก่อสร้างบ่อดักตะกอน ประตูระบายน้ำพร้อมอาคารประกอบบริเวณหน้า-ท้ายของอุโมงค์แรงดัน ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เมตร รวมถึงการขุดคลองลำเลียงน้ำช่วงที่ 1 ระยะทาง 16.675 กิโลเมตร และการก่อสร้างอุโมงค์ทางเข้า-ทางออก พร้อมถนน


2. หัวงานแนวผันลำน้ำชี-มูล มีแนวผันน้ำจากทิศเหนือไปทิศใต้ ไปยังพื้นที่ลุ่มน้ำชี-มูล ระยะทาง 90.951 กิโลเมตร โดยวางแนวผันน้ำต่อจากแนวผันน้ำโขงอีสาน และสิ้นสุดที่ตำบลนาคำ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ประกอบด้วย การขุดคลองลำเลียงน้ำช่วงที่ 2 การขุดเจาะอุโมงค์การไหลแบบทางน้ำเปิดช่วงที่ 1 การขุดคลองลำเลียงน้ำช่วงที่ 3 การขุดเจาะอุโมงค์การไหลแบบทางน้ำเปิดช่วงที่ 2 การขุดคลองลำเลียงน้ำช่วงที่ 4 การขุดเจาะอุโมงค์การไหลแบบทางน้ำเปิดช่วงที่ 3 การขุดคลองลำเลียงน้ำช่วงที่ 5 และการก่อสร้างอุโมงค์ทางเข้า-ทางออก พร้อมถนน


3. พื้นที่จัดการวัสดุ (DA) หากมีการก่อสร้างโครงการจะมีปริมาณวัสดุที่ได้จากงานขุดทั้งหมด 44.44 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยแบ่งเป็น (1) วัสดุที่นำไปกองข้างคลอง 23.15 ล้านลูกบาศก์เมตร (2) วัสดุที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ 14.62 ล้านลูกบาศก์เมตร และ (3) วัสดุที่คาดว่าจะนำมาใช้ได้ 6.67 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อลดผลกระทบจากปริมาณวัสดุที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ จึงได้จัดเตรียมพื้นที่จัดการวัสดุ จำนวน 11 แห่ง ประกอบด้วย จังหวัดเลย 3 แห่ง จังหวัดหนองบัวลำภู 6 แห่ง จังหวัดอุดรธานี 1 แห่ง และจังหวัดขอนแก่น 1 แห่ง โดยการกองวัสดุจะไม่ขวางทางน้ำ หรือกองถมร่องน้ำ และจะทำการปรับปรุงภูมิทัศน์ ให้เป็นสถานที่พักผ่อน สวนป่า หรือแลนด์มาร์ก

“ทั้งนี้ หากสามารถดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ได้อย่างเต็มรูปแบบตามแผนที่วางไว้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง รักษาระบบนิเวศในพื้นที่ท้ายน้ำ บรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ลดความรุนแรงของวิกฤตภัยแล้งในพื้นที่ที่เข้าถึงแหล่งน้ำได้ยาก ลดความเหลื่อมล้ำในการพัฒนา สร้างความมั่นคงด้านอาชีพเกษตรกรรม และช่วยลดอัตราการอพยพแรงงานในภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน” นายพิเชษฐ กล่าว 





No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad


Pages