sacit ตอบรับเมกะเทรนด์รักษ์โลก ใช้ BCG Model ยกระดับงานศิลปหัตถกรรมไทยสู่ระดับสากล - Thailand Times

Breaking

Home Top Ad


Post Top Ad

Saturday, 17 June 2023

sacit ตอบรับเมกะเทรนด์รักษ์โลก ใช้ BCG Model ยกระดับงานศิลปหัตถกรรมไทยสู่ระดับสากล

sacit ชูงานศิลปหัตถกรรมไทยยั่งยืน ผลักดันแนวทาง BCG Model ให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อ

ต่อยอดงานหัตถศิลป์ไทยรับเทรนด์รักษ์โลก หลังผู้บริโภคหันมาสนใจสินค้า Eco Trend กันมากขึ้น 

นายภาวี โพธิ์ยี่ รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย หรือ sacit เผยว่า BCG Model คือการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมทั้ง 3 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่า, เศรษฐกิจแบบหมุนเวียน (Circular Economy) การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการสูญเสีย ใส่ใจเรื่องการ Recycle และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) หรือการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเป็นนโยบายในการผลักดันเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นปัญหาระดับโลกที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความหลากหลายทางชีวภาพของโลกที่ลดลงจนนำไปสู่ความเสียหายของห่วงโซ่อาหาร ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหามลพิษทางอากาศ และอื่นๆ ซึ่งทำให้หน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกต่างร่วมกันจัดตั้งนโยบายเพื่อป้องกัน และเพิ่มมาตราการป้องกันสิ่งแวดล้อมเพื่อให้คนรุ่นต่อไปสามารถอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันหันมาให้ความสำคัญกับการใส่ใจสุขภาพ เลือกใช้สินค้าที่ปลอดภัยไร้สารพิษ และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม จนเกิดเป็นเมกะเทรนด์ของโลก ที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องปรับตัวให้สามารถตอบรับความต้องการของตลาดโลกจนทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ และเกิดเป็นรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคตด้วยปัจจัยดังกล่าว 

sacit หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ และขานรับแนวคิด BCG Model ที่สอดรับกับวิสัยทัศน์ขององค์กรในการส่งเสริมงานศิลปหัตถกรรมไทยในทุกมิติอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย การสร้างความสามารถในการแข่งขัน , การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม , และการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการดำเนินงานของ sacit ภายใต้ยุทธศาสตร์การสืบสานและพัฒนาทักษะมือของช่างหัตถศิลป์ให้คงอยู่ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทยให้มีฟังก์ชันการใช้งานตอบโจทย์ผู้ซื้อมากขึ้น การส่งเสริมและขยายช่องทางการตลาดให้กับงานศิลปหัตถกรรมไทยทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการสื่อสารภูมิปัญญางานศิลปหัตถกรรมไทยไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ ให้เกิดภาพจำ เกิดทัศนคติที่ดี รักหวงแหน และภาคภูมิใจในงานศิลปหัตถกรรมไทยที่ทันสมัยและสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันในยุคดิจิทัลได้ 
นายภาวีฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า งานศิลปหัตถกรรมไทยนั้นเป็นภูมิปัญญาที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่หาได้จากท้องถิ่นอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน sacit จึงได้ส่งเสริมและผลักดันให้ผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมหันมาพัฒนาต่อยอดด้วยการสร้างสรรค์ชิ้นงานผสานเข้ากับเทรนด์การรักษ์โลก เช่น การพัฒนาระบบการบำบัดน้ำเสียให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการใช้วัตถุดิบให้เต็มวงจรชีวิตและสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า เพื่อนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าสินค้า สร้างงานหัตถศิลป์ที่มีคุณภาพ ผลิตอย่างใส่ใจไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม มีเอกลักษณ์ ไม่ตามกระแส ใช้งานได้คุ้มค่า ลดปริมาณขยะ เป็นการบริหารจัดการภายในชุมชนให้เกิดรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป
ครูอุไร สัจจะไพบูลย์ ครูช่างศิลปหัตถกรรม ปี 2554 ของ sacit เผยถึงการต่อยอดงานผ้าทอย้อมสีธรรมชาติ ที่นำแนวคิด BCG Model มาใช้ในการสร้างสรรค์งานผ้าทอ ภายใต้ชื่อแบรนด์ Hattra ด้วยกระบวนการผลิตงานผ้าไทย ผ่านแนวคิดการใช้เส้นใยธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การย้อมสีจากเปลือกไม้ และดอกคำแสด ที่ให้สีส้ม ซึ่งเป็นสีประจำจังหวัดอุดรธานี และต่อยอดเรื่องการประยุกต์ใช้วัสดุเศษผ้าที่เหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต จนพัฒนาเกิดมาเป็นสินค้าประเภท Circular Design อีกทั้งยังมีการนำเส้นใย ฟิลาเจน ซึ่งเป็นนวัตกรรมผลิตตัวเส้นใยจากคอลลาเจน ที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาความชุ่มชื้น กำจัดกลิ่น ป้องกันรังสียูวี และระบายอากาศได้ดีเหมาะกับอากาศประเทศไทย และนำมาใช้ในงานผ้ามัดหมี่ขิดทอมือย้อมสีธรรมชาติ ซึ่งเป็นการผสานนวัตกรรมการผลิตเข้ากับภูมิปัญญาพื้นบ้านอย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย
ครูทิวารุ่ง กำหนดแน่ ครูช่างศิลปหัตถกรรม ปี 2555 ของ sacit กล่าวถึงเทคนิคการทอผ้าไหมเขียนลายโบราณว่า ทางกลุ่มได้ให้ความสำคัญกับการใช้วัตถุดิบหลักจากธรรมชาติมาใช้ในผลงานทอผ้าไหมมาตลอด ซึ่งใช้สีหลักอยู่ 2 สี คือ สีจากเปลือกไม้ และสีคราม โดยมีกลุ่มคนเกษียณมาช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานในยามว่าง เกิดเป็นความร่วมมือในชุมชน และยังสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวและชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป  

เมื่องานหัตถศิลป์ผนวกเข้ากับ BCG Model จะสามารถสร้างวัฏจักรงานศิลปหัตถกรรมขึ้นมาในรูปแบบที่สามารถสร้างความยั่งยืนได้ครบในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการสืบสานงานศิลปหัตถกรรมไทยให้อยู่คู่กับคนไทยไปยังคนรุ่นต่อไป การสร้างความยั่งยืนของทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพ พร้อมพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันได้อย่างทัดเทียมกับตลาดสากล รวมไปถึงสามารถตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำไปสู่การสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชนและผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทย 









No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad


Pages