เกษตรกรยาสูบภาคเหนือเร่งเสริมความรู้ สู้ความท้าทายภายใต้นโยบายควบคุมยาสูบโลก - Thailand Times

Breaking



Post Top Ad

Tuesday, 28 October 2025

เกษตรกรยาสูบภาคเหนือเร่งเสริมความรู้ สู้ความท้าทายภายใต้นโยบายควบคุมยาสูบโลก

เกษตรกรยาสูบภาคเหนือเร่งเสริมความรู้ สู้ความท้าทายภายใต้นโยบายควบคุมยาสูบโลก

ภาคีเครือข่ายชาวไร่ยาสูบ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการหัวข้อ “เตรียมความพร้อมสู่การประกอบการภายใต้กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC)” ณ ห้องประชุมดอยตุง โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย โดยมีเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบไทยในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบนและพื้นที่ใกล้เคียงประมาณ 100 รายเข้าร่วมการสัมมนา 


การสัมมนาเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบเกี่ยวกับกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ผลกระทบที่มีต่อเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือและสามารถปฏิบัติตามกรอบอนุสัญญาฯ ข้อกำหนดอื่น รวมถึงนโยบายของภาครัฐที่อาจมีขึ้นในอนาคต ตลอดจนสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและผลผลิตภายใต้หลักความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาการจัดการดิน น้ำ รวมถึงการใช้สารเคมี    เพื่อยกระดับมาตรฐานและความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบของประเทศไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ อีกทั้งยังเป็นเวทีให้ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสานความร่วมมือกันในด้านต่างๆ อีกด้วย


นายอัจฉริยะ วัฒนาพร ตัวแทนเกษตรกรชาวไร่ยาสูบจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การปลูกใบยาสูบในพื้นที่ภาคเหนือของไทยนั้นเป็นอาชีพที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ยาสูบทำให้ครอบครัวนับหมื่นแสนมีรายได้ที่มั่นคงและเป็นพืชที่ช่วยสร้างรายได้ภาษีให้กับประเทศมหาศาล แต่ปัจจุบันชาวไร่ยาสูบกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยาสูบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราภาษียาสูบที่ซับซ้อนและสูงเกินไปซึ่งส่งผลให้บุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้าเติบโตขึ้นมาก สวนทางกับบุหรี่ของการยาสูบแห่งประเทศไทยที่มียอดขายลดลง ปริมาณและราคารับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรจึงลดลงตาม ทั้งนี้รวมถึงผู้ประกอบการและแรงงานในระดับชุมชนตลอดห่วงโซ่การเพาะปลูกและจัดจำหน่ายใบยา เช่น โรงบ่มใบยา และแรงงานตามฤดูกาล เป็นต้น เมื่อการผลิตลดลงก็ส่งผลต่อรายได้ของแรงงานในชุมชนด้วย ส่วนรัฐก็เก็บภาษีบุหรี่ได้น้อยลง ในขณะที่การปราบปรามบุหรี่เถื่อนซึ่งเป็นปัญหาหลักของอุตสาหกรรมไม่เคยสาวไปถึงต้นตอของขบวนการได้  


นายอัจฉริยะ กล่าวต่อไปว่า เรื่องสำคัญซึ่งมีผลต่อการกำหนดชีวิตของชาวไร่ยาสูบและผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานก็คือ กฎระเบียบและนโยบายต่างๆ ของไทยที่อนุวัติตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมส่วนประกอบ การตลาด บรรจุภัณฑ์ และภาษี ทั้งนี้ ผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกใบยาไม่ถูกพูดถึงเท่ากับผลกระทบต่อตลาดปลายน้ำ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงที่สุดจากอนุสัญญาฯ วันนี้ชาวไร่ยาสูบกำลังเผชิญกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น กลายเป็นผู้รับภาระของนโยบายควบคุมยาสูบโดยตรง 


“มาตรา 17 และ 18 ของอนุสัญญาฯ ระบุว่า ประเทศภาคีควรส่งเสริมการหาทางเลือกที่ยั่งยืนแทนการปลูกยาสูบ และคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของเกษตรกร ทั้งนี้ การกำหนดมาตรการที่มุ่งให้ชาวไร่ยาสูบเปลี่ยนไปปลูกพืชทางเลือกเพื่อทดแทนนั้นอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานใบยาสูบอย่างมีนัยยะสำคัญ ในขณะที่ประเทศไทยนั้นก็ยังขาดการส่งเสริมการปลูกพืชทางเลือกและอาชีพทดแทน แต่ชาวไร่ยาสูบก็ยังสู้ เพราะการทำไร่ยาสูบเป็นอาชีพสุจริตที่เลี้ยงชีพเรามาหลายชั่วอายุ วันนี้เราพยายามปรับตัว เรียนรู้ และพัฒนาตัวเอง งานสัมมนาในวันนี้ก็คือรูปธรรมหนึ่งของความพยายาม” นายอัจฉริยะ กล่าว


ด้าน ดร.ทัตพร คุณประดิษฐ์ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วิทยากรในการสัมมนาครั้งนี้ อธิบายว่า วันนี้เกษตรกรผู้ปลูกใบยาในภาพเหนือได้มารวมตัวกันเพื่อเรียนรู้เรื่อง “การจัดการน้ำ ดิน และการติดตามผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นอกจากนี้ยังมีการอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ “การลดความเสื่อมโทรมของดิน การจัดการและใช้พื้นที่การเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ” และ “ผลกระทบจากมลพิษทางสารเคมีต่อวิถีชีวิต และสิ่งแวดล้อมด้านดินและน้ำ” รวมทั้ง “การจัดการน้ำชุมชนเพื่อความยั่งยืนในการใช้น้ำในภาคการเกษตร และการอุปโภคและบริโภค” นับว่าเป็นความพยายามตอบโจทย์มาตรา 18 อนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ในด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของเกษตรกร 


ดร.ทัตพร ยังกล่าวด้วยว่า เกษตรกรผู้ปลูกใบยานั้นมีองค์ความรู้ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันโลกมีความท้าทายใหม่ อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยพิบัติ และมีคุณค่าที่มนุษย์ให้ความสำคัญมากขึ้น อาทิ ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้เพื่อปรับตัวของเกษตรกรจึงสำคัญอย่างยิ่ง งานสัมมนาในวันนี้เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากสถาบันการศึกษาไปสู่เกษตรกร ในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันอีกด้วย นี่จะเป็นอีกหนึ่งก้าวที่นำไปสู่การทำเกษตรกรรมยั่งยืนต่อไปในอนาคต. 






No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad


Pages